เครื่องวัดความดันคืออะไร ทำงานยังไง

เครื่องวัดความดันคืออะไร ทำงานยังไง

ในโลกยุคใหม่ที่ผู้คนหันมาใส่ใจสุขภาพกันมากขึ้น “เครื่องวัดความดัน” กลายเป็นหนึ่งในอุปกรณ์จำเป็นที่หลายบ้านมีติดไว้ แม้ไม่ได้เป็นหมอหรือพยาบาล แต่เราก็สามารถตรวจสอบสุขภาพเบื้องต้นได้ด้วยตนเอง โดยเฉพาะ “ความดันโลหิต” ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้สำคัญของโรคหัวใจ เส้นเลือด และระบบไหลเวียนโลหิต หากควบคุมได้ดี ก็จะช่วยลดความเสี่ยงจากโรคร้ายแรงได้มากทีเดียว

แต่คำถามคือ… เครื่องวัดความดันคืออะไร? ทำงานอย่างไร? แบบไหนดีกว่ากัน? และเราควรเลือกใช้อย่างไร บทความนี้จะพาไปหาคำตอบอย่างละเอียด

เครื่องวัดความดันคืออะไร

เครื่องวัดความดัน คือ อุปกรณ์ที่ใช้ในการวัด “ความดันโลหิต” หรือแรงดันที่เลือดส่งไปยังผนังหลอดเลือดแดงในขณะที่หัวใจบีบตัว (Systolic) และคลายตัว (Diastolic) หน่วยที่ใช้วัดคือ mmHg (มิลลิเมตรปรอท)

ค่าความดันที่วัดได้จะมี 2 ค่า เช่น 120/80 mmHg ซึ่งหมายถึง:

  • 120 = ความดันขณะหัวใจบีบตัว (Systolic)
  • 80 = ความดันขณะหัวใจคลายตัว (Diastolic)

หากตัวเลขเหล่านี้สูงหรือต่ำเกินไป อาจแสดงถึงความผิดปกติของระบบไหลเวียนโลหิตหรือหัวใจ ซึ่งควรได้รับการตรวจเพิ่มเติมโดยแพทย์

เครื่องวัดความดันผลิตขึ้นครั้งแรกเมื่อไร

เครื่องวัดความดันถูกคิดค้นขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 โดยแพทย์ชาวอิตาลีชื่อ Scipione Riva-Rocci ในปี ค.ศ. 1896 เขาเป็นผู้สร้างเครื่องมือวัดความดันแบบใช้ปรอทขึ้นมา ซึ่งใช้ร่วมกับสายรัดแขน (Cuff) และเป็นพื้นฐานของเครื่องวัดความดันรุ่นแรกๆ ที่ใช้กันในโรงพยาบาล

ต่อมาในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 แพทย์ชาวรัสเซียชื่อ Dr. Nikolai Korotkoff ได้พัฒนาเทคนิคการฟังเสียงการไหลของเลือดผ่านหูฟังเพื่อใช้ร่วมกับเครื่องวัด ซึ่งกลายเป็นมาตรฐานจนถึงทุกวันนี้

สมัยที่เครื่องผลิตออกมา ใช้เพื่ออะไร

ช่วงแรกของการใช้งาน เครื่องวัดความดันถูกใช้เฉพาะในแวดวงการแพทย์เท่านั้น เช่น โรงพยาบาล หรือห้องผ่าตัด เพื่อช่วยวินิจฉัยโรคเกี่ยวกับหัวใจ เส้นเลือด หรือภาวะเลือดออกมากผิดปกติ ซึ่งการตรวจวัดความดันถือเป็นการเปลี่ยนแปลงสำคัญของวงการแพทย์ในยุคนั้น เพราะทำให้สามารถติดตามอาการของผู้ป่วยได้แม่นยำขึ้น และลดความเสี่ยงจากภาวะช็อกหรือหัวใจล้มเหลว

ต่อมาเมื่อความรู้ทางการแพทย์แพร่หลาย และเทคโนโลยีพัฒนา เครื่องวัดความดันก็เริ่มเข้าถึงคนทั่วไปมากขึ้น กลายเป็นอุปกรณ์พื้นฐานที่ทุกบ้านควรมี

จากระบบ Analog มาเป็น Digital ได้ยังไง

เครื่องวัดความดันในยุคเริ่มต้นเป็นแบบ อนาล็อก (Analog) ซึ่งอาศัยมือบีบลม และใช้หูฟังแพทย์ (Stethoscope) ฟังเสียงเลือดไหลผ่านหลอดเลือด ทำให้ต้องอาศัยความชำนาญสูง ไม่เหมาะกับผู้ใช้งานทั่วไป

ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยี จึงมีการพัฒนา เครื่องวัดความดันแบบดิจิทัล (Digital Blood Pressure Monitor) ขึ้นมา โดยใช้เซนเซอร์อิเล็กทรอนิกส์และไมโครชิปในการตรวจจับแรงดัน พร้อมแสดงผลผ่านหน้าจอ LCD โดยไม่ต้องใช้หูฟังหรือความเชี่ยวชาญด้านการแพทย์

การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้คนทั่วไปสามารถวัดความดันได้เองอย่างแม่นยำ สะดวก และปลอดภัยยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในผู้สูงอายุหรือผู้ที่ต้องวัดความดันเป็นประจำทุกวัน

ถ้าเทียบระหว่างเครื่องวัดความดันแบบ Analog (มือบีบ) และ Digital ต่างกันยังไง

รายการเปรียบเทียบ

เครื่องวัดความดันแบบ Analog (มือบีบ)

เครื่องวัดความดันแบบ Digital

วิธีใช้งาน

ต้องบีบลมด้วยมือ + ใช้หูฟัง

กดปุ่มเดียว รอผลแสดงหน้าจอ

ความแม่นยำ

สูงมาก ถ้าใช้ถูกต้อง

สูง แต่ขึ้นกับรุ่นและการใช้งาน

ต้องใช้ทักษะ

ใช่ ต้องฝึกฝน

ไม่ต้องเลย ใช้ได้ทุกคน

เหมาะกับใคร

บุคลากรทางการแพทย์

บุคคลทั่วไป ผู้สูงอายุ

ราคาโดยเฉลี่ย

ราคาถูกกว่าหรือเท่าๆ กัน

ราคาสูงกว่าเล็กน้อย

ความสะดวกในการพกพา

ต้องพกหูฟังและอุปกรณ์หลายชิ้น

ส่วนมากขนาดกะทัดรัด พกง่าย

สรุปคือ หากคุณเป็นบุคลากรทางการแพทย์ การใช้เครื่องมือแบบอนาล็อกอาจแม่นยำและไว้วางใจได้มากกว่า แต่สำหรับการใช้งานทั่วไปในบ้าน เครื่องวัดความดันแบบดิจิทัลเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

เครื่องวัดความดันทำงานยังไง

หลักการทำงานของเครื่องวัดความดันแบบดิจิทัลคือ:

  1. พันสายรัดแขน (Cuff) รอบแขนเหนือข้อศอก
  2. เครื่องจะเริ่มสูบลมเข้าไปใน Cuff จนแขนรู้สึกแน่น
  3. จากนั้นเครื่องจะค่อยๆ ปล่อยลมออก และตรวจจับการไหลของเลือด
  4. เซนเซอร์ภายในจะอ่านค่าแรงดันในหลอดเลือด และคำนวณออกมาเป็นค่า Systolic และ Diastolic
  5. แสดงผลบนหน้าจอ พร้อมค่าชีพจร (Pulse Rate)

ในขณะที่เครื่องแบบอนาล็อก จะให้ผู้ใช้บีบลมเข้าไปเอง จากนั้นใช้หูฟังแพทย์ฟังเสียง “ตุ้บ” ซึ่งเป็นเสียงที่เกิดจากเลือดเริ่มไหลผ่านหลอดเลือด เสียงแรกคือความดันตัวบน และเมื่อเสียงหายไปคือความดันตัวล่าง

คำแนะนำในการเลือกเครื่องวัดความดัน

  1. เลือกยี่ห้อที่เชื่อถือได้ ผ่านการรับรองมาตรฐานทางการแพทย์ เช่น CE, FDA หรือ อย. ไทย
  2. ควรเลือกแบบแขน (Upper Arm) มากกว่าข้อมือ เพราะวัดได้แม่นยำกว่า
  3. ดูหน้าจอใหญ่ อ่านง่าย เหมาะกับผู้สูงอายุ
  4. ฟังก์ชันเสริม เช่น บันทึกค่าอัตโนมัติ หรือเตือนหากวัดผิด

สรุปส่งท้าย

เครื่องวัดความดันไม่ใช่แค่อุปกรณ์สำหรับผู้ป่วยหรือโรงพยาบาลอีกต่อไป แต่กลายเป็นเครื่องมือจำเป็นของทุกบ้านในยุคที่ใส่ใจสุขภาพ ความเข้าใจในหลักการทำงาน การเลือกใช้อย่างถูกวิธี และการวัดอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้เรารู้ทันโรค รู้ทันร่างกาย และดูแลตัวเองได้ดีขึ้นทุกวัน

หากคุณยังไม่มีเครื่องวัดความดันที่บ้าน ตอนนี้อาจเป็นเวลาที่เหมาะจะเริ่มต้นดูแลสุขภาพจากจุดเล็กๆ แบบนี้

 

รุ่นเครื่องวัดความดันที่แนะนำ (เหมาะสำหรับใช้งานที่บ้าน)

OMRON HEM-7121

  • จุดเด่น: รุ่นยอดนิยม ใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อน วัดได้แม่นยำ

  • ประเภท: แขน (Upper Arm)

  • ฟีเจอร์: หน้าจอแสดงผลชัดเจน มีฟังก์ชันตรวจจับการเต้นผิดปกติของหัวใจ

  • เหมาะกับ: ผู้สูงอายุ หรือผู้เริ่มต้นใช้งาน

Microlife BP A2 Basic

  • จุดเด่น: แบรนด์ที่ได้รับความเชื่อถือจากโรงพยาบาล

  • ประเภท: แขน (Upper Arm)

  • ฟีเจอร์: มีเทคโนโลยี PAD ตรวจจับหัวใจเต้นผิดปกติ

  • เหมาะกับ: คนที่มีประวัติโรคหัวใจ หรือเฝ้าระวังสุขภาพเฉพาะทาง

OMRON HEM-7156T (Bluetooth)

  • จุดเด่น: เชื่อมต่อแอป OMRON Connect ได้ เหมาะกับคนรักเทคโนโลยี

  • ประเภท: แขน (Upper Arm)

  • ฟีเจอร์: บันทึกผลอัตโนมัติลงมือถือ แจ้งเตือนสุขภาพในแอปได้

  • เหมาะกับ: ผู้ใช้งานที่ต้องการเก็บข้อมูลและแชร์กับแพทย์

Share:

บทความแนะนำที่คุณอาจสนใจ

Starlink เครือข่าย Internet แห่งอนาคตที่เล่นเน็ตที่ไหนก็ได้ทั่วโลก

Starlink เครือข่าย Internet แห่งอนาคตที่ เล่นเน็ตที่ไหนก็ได้ทั่วโลก

Starlink คืออะไร Starlink คือชื่อของเครือข่ายอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียม ที่ถูกสร้างขึ้นโดยบริษัท SpaceX ของ Elon Musk เจ้าพ่อเทคโนโลยีผู้โด่งดัง จุดเด่นของ Starlink คือการให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงในทุกพื้นที่ของโลก ไม่ว่าจะอยู่กลางป่า กลางทะเล หรือในชนบทที่ไม่มีสายไฟเบอร์ลากไปถึง Starlink ก็สามารถส่งสัญญาณให้ใช้งานได้ เป้าหมายของ Starlink คือการทำให้ทุกคนบนโลกสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ ไม่ว่าจะอยู่มุมไหนของโลกก็ตาม Starlink ทำงานแบบไหน? ระบบของ

ระบบหุ่นยนต์ AI และอุตสาหกรรม กับการเปลี่ยนแปลงของอนาคต ในอีก 10 ปีนับจาก 2025

ระบบหุ่นยนต์และอุตสาหกรรม กับการเปลี่ยนแปลงของอนาคต ในอีก 10 ปีนับจาก 2025

ในยุคที่เทคโนโลยีพัฒนาอย่างรวดเร็ว “ระบบหุ่นยนต์” กลายเป็นหนึ่งในหัวข้อที่ถูกพูดถึงมากที่สุด โดยเฉพาะเมื่อเรามองไปยังอนาคตอีก 10 ปีข้างหน้า หุ่นยนต์ไม่ใช่แค่เครื่องจักรกลธรรมดาอีกต่อไป แต่กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน การทำงาน และอุตสาหกรรมเกือบทุกประเภท นวัตกรรมหุ่นยนต์ใน 10 ปีที่ผ่านมา เมื่อมองย้อนกลับไปในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เราจะเห็นว่าหุ่นยนต์ไม่ได้อยู่แค่ในหนังไซไฟอีกต่อไป แต่กลายเป็นสิ่งที่เราพบได้จริงในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่หุ่นยนต์ทำความสะอาดในบ้านไปจนถึงหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดในโรงพยาบาล สิ่งที่เปลี่ยนแปลงอย่างมากคือ “ความฉลาด” ของหุ่นยนต์ในยุคนี้ พวกมันไม่ได้ทำแค่ตามคำสั่งแบบเดิม ๆ แต่สามารถเรียนรู้

การออกแบบภายใน คือการสร้างพื้นที่ที่สะท้อนตัวตนของคุณ

การออกแบบภายใน คือการสร้างพื้นที่ที่สะท้อนตัวตนของคุณ

การออกแบบภายใน (Interior Design) ไม่ได้เป็นเพียงการตกแต่งบ้านหรืออาคารให้ดูสวยงามเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการวางแผนและการจัดสรรพื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดและตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งาน การออกแบบภายในที่ดีสามารถสร้างบรรยากาศที่น่าอยู่ เพิ่มความสะดวกสบาย และช่วยสะท้อนเอกลักษณ์ของเจ้าของพื้นที่ได้อย่างลงตัว แนวคิดพื้นฐานในการออกแบบภายใน Interior Design ฟังก์ชันการใช้งาน (Functionality)พื้นที่ภายในควรถูกออกแบบให้ตอบโจทย์การใช้งาน เช่น ห้องครัวที่มีพื้นที่จัดเตรียมอาหารอย่างเป็นระเบียบ หรือห้องนั่งเล่นที่เหมาะสำหรับการพักผ่อนและพบปะสังสรรค์ สไตล์ (Style)เลือกสไตล์ที่สะท้อนบุคลิกของคุณ ไม่ว่าจะเป็นโมเดิร์น มินิมอล หรือคลาสสิก แต่ละสไตล์สามารถสร้างเอกลักษณ์ให้กับพื้นที่ได้อย่างแตกต่าง สีและแสง (Color and

5M Model 5M คืออะไร และความสำคัญในอุตสาหกรร : การประยุกต์เพิ่มประสิทธิภาพ

5M ในอุตสาหกรรม : ความสำคัญและการประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในโรงงาน

อุตสาหกรรม ธุรกิจ และ 5M model ในโลกของอุตสาหกรรม การบริหารจัดการและการเพิ่มประสิทธิภาพเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ หนึ่งในแนวทางที่ได้รับการยอมรับและใช้กันอย่างแพร่หลายคือหลักการ 5M ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ช่วยวิเคราะห์และแก้ไขปัญหาในกระบวนการผลิต รวมถึงพัฒนาองค์กรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับ 5M แต่ละประเภท และความสำคัญของมันในธุรกิจอุตสาหกรรม โมเดล 5M คืออะไร ? 5M เป็นกรอบแนวคิดที่ใช้วิเคราะห์และจัดการกระบวนการผลิตในอุตสาหกรรม โดยแบ่งองค์ประกอบหลักออกเป็น 5 ด้าน ซึ่งครอบคลุมทุกแง่มุมของการทำงานในโรงงานอุตสาหกรรม

- บทความน่าสนใจ -

Starlink เครือข่าย Internet แห่งอนาคตที่เล่นเน็ตที่ไหนก็ได้ทั่วโลก

Starlink เครือข่าย Internet แห่งอนาคตที่ เล่นเน็ตที่ไหนก็ได้ทั่วโลก

Starlink คืออะไร Starlink คือชื่อของเครือข่ายอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียม ที่ถูกสร้างขึ้นโดยบริษัท SpaceX ของ Elon Musk เจ้าพ่อเทคโนโลยีผู้โด่งดัง จุดเด่นของ Starlink คือการให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงในทุกพื้นที่ของโลก ไม่ว่าจะอยู่กลางป่า กลางทะเล หรือในชนบทที่ไม่มีสายไฟเบอร์ลากไปถึง Starlink ก็สามารถส่งสัญญาณให้ใช้งานได้ เป้าหมายของ Starlink คือการทำให้ทุกคนบนโลกสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ ไม่ว่าจะอยู่มุมไหนของโลกก็ตาม Starlink ทำงานแบบไหน? ระบบของ

ระบบหุ่นยนต์ AI และอุตสาหกรรม กับการเปลี่ยนแปลงของอนาคต ในอีก 10 ปีนับจาก 2025

ระบบหุ่นยนต์และอุตสาหกรรม กับการเปลี่ยนแปลงของอนาคต ในอีก 10 ปีนับจาก 2025

ในยุคที่เทคโนโลยีพัฒนาอย่างรวดเร็ว “ระบบหุ่นยนต์” กลายเป็นหนึ่งในหัวข้อที่ถูกพูดถึงมากที่สุด โดยเฉพาะเมื่อเรามองไปยังอนาคตอีก 10 ปีข้างหน้า หุ่นยนต์ไม่ใช่แค่เครื่องจักรกลธรรมดาอีกต่อไป แต่กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน การทำงาน และอุตสาหกรรมเกือบทุกประเภท นวัตกรรมหุ่นยนต์ใน 10 ปีที่ผ่านมา เมื่อมองย้อนกลับไปในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เราจะเห็นว่าหุ่นยนต์ไม่ได้อยู่แค่ในหนังไซไฟอีกต่อไป แต่กลายเป็นสิ่งที่เราพบได้จริงในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่หุ่นยนต์ทำความสะอาดในบ้านไปจนถึงหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดในโรงพยาบาล สิ่งที่เปลี่ยนแปลงอย่างมากคือ “ความฉลาด” ของหุ่นยนต์ในยุคนี้ พวกมันไม่ได้ทำแค่ตามคำสั่งแบบเดิม ๆ แต่สามารถเรียนรู้

การออกแบบภายใน คือการสร้างพื้นที่ที่สะท้อนตัวตนของคุณ

การออกแบบภายใน คือการสร้างพื้นที่ที่สะท้อนตัวตนของคุณ

การออกแบบภายใน (Interior Design) ไม่ได้เป็นเพียงการตกแต่งบ้านหรืออาคารให้ดูสวยงามเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการวางแผนและการจัดสรรพื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดและตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งาน การออกแบบภายในที่ดีสามารถสร้างบรรยากาศที่น่าอยู่ เพิ่มความสะดวกสบาย และช่วยสะท้อนเอกลักษณ์ของเจ้าของพื้นที่ได้อย่างลงตัว แนวคิดพื้นฐานในการออกแบบภายใน Interior Design ฟังก์ชันการใช้งาน (Functionality)พื้นที่ภายในควรถูกออกแบบให้ตอบโจทย์การใช้งาน เช่น ห้องครัวที่มีพื้นที่จัดเตรียมอาหารอย่างเป็นระเบียบ หรือห้องนั่งเล่นที่เหมาะสำหรับการพักผ่อนและพบปะสังสรรค์ สไตล์ (Style)เลือกสไตล์ที่สะท้อนบุคลิกของคุณ ไม่ว่าจะเป็นโมเดิร์น มินิมอล หรือคลาสสิก แต่ละสไตล์สามารถสร้างเอกลักษณ์ให้กับพื้นที่ได้อย่างแตกต่าง สีและแสง (Color and

5M Model 5M คืออะไร และความสำคัญในอุตสาหกรร : การประยุกต์เพิ่มประสิทธิภาพ

5M ในอุตสาหกรรม : ความสำคัญและการประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในโรงงาน

อุตสาหกรรม ธุรกิจ และ 5M model ในโลกของอุตสาหกรรม การบริหารจัดการและการเพิ่มประสิทธิภาพเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ หนึ่งในแนวทางที่ได้รับการยอมรับและใช้กันอย่างแพร่หลายคือหลักการ 5M ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ช่วยวิเคราะห์และแก้ไขปัญหาในกระบวนการผลิต รวมถึงพัฒนาองค์กรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับ 5M แต่ละประเภท และความสำคัญของมันในธุรกิจอุตสาหกรรม โมเดล 5M คืออะไร ? 5M เป็นกรอบแนวคิดที่ใช้วิเคราะห์และจัดการกระบวนการผลิตในอุตสาหกรรม โดยแบ่งองค์ประกอบหลักออกเป็น 5 ด้าน ซึ่งครอบคลุมทุกแง่มุมของการทำงานในโรงงานอุตสาหกรรม

Post Views: 42